ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระเจ้ามโหตรประเทศผู้ครองนครเชียงใหม่ โปรดให้เจ้าแก้วเมืองมาออกไปจับช้างที่ป่าบริเวณนั้น
เจ้าแก้วเมืองมาออกเดินทางจนถึงที่แห่งหนึ่งทางทิศใต้ริมฝั่งแม่น้ำปาย
เห็นว่าเหมาะสมกับการตั้งบ้านเมืองจึงรวบรวมผู้คนชาวไทยใหญ
่ในแถบบริเวณนั้นเข้ามาตั้งเป็น บ้านโป่งหมู เพราะมีหมูป่าลงกินโป่งชุมชุม
เมื่อเจ้าแก้วเมืองมาจัดตั้งบ้านโป่งหมูเรียบร้อยแล้วก็ได้เดินทางต่อไปทางใต้
เพื่อคล้องช้างป่าจนถึงลำห้วยแห่งหนึ่ง จึงได้หยุดพักทำการคล้องช้าง
และตั้งคอกฝึกช้างพร้อมทั้งรวบรวมผู้คน ให้มาตั้งบ้านเรือนในแถบบริเวณนี้อีก
และเรียกชื่อว่า บ้านแม่ร่องสอน และเมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เป็นระบอบประชาธิปไตย จังหวัดแม่ฮ่องสอนจึงมีฐานะ เป็นจังหวัดหนึ่งของเมืองไทย
สืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ครับ
แม่ฮ่องสอนได้ชื่อว่า เมืองสามหมอก เนื่องจากเป็นเมืองในหุบเขา
ล้อมรอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อนทอดขนานไปกับทิวเขาถนนธงชัย
และทิวเขาแดนลาว ดังนั้น จึงถูกปกคลุมด้วยหมอกตลอดทั้งปี
มีทิวทัศน์สวยงามตามธรรมชาติของเทือกเขาสลับซับซ้อน
และป่าไม้นานาพันธุ์จนมีคำกล่าวว่าเปรียบเสมือนกับเป็นสวิตเซอร์แลนด์ของเมืองไทย
ประวัติและความเป็นมาจังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อปี พ.ศ.
2374 พระเจ้ามโหตรประเทศ ผู้ครองนครเชียงใหม่ ให้ เจ้าแก้วเมืองมา
เป็นแม่กอง นำไพร่พลช้างต่อและหมอควาญ ออกไปจับช้างป่ามาใช้งาน
เจ้าแก้วเมืองมา ยกไพร่พลช้างช้างป่ามาใช้งาน เจ้าแก้วเมืองมา
ยกไพร่พลข้ามภูเขา มาทางตะวันตกของเชียงใหม่ ซึ่งมีช้างป่าชุกชุม
โดยมอบหน้าที่ให้ พะกาหม่อง เป็นผู้ควบคุมดูแล เมื่อคล้องช้างได้เป็นจำนวนเพียงพอแล้ว
จึงพากันเดินทางต่อไปถึงชุมชนบ้านป่าแห่งหนึ่ง มีทำเลดีมีร่องธารน้ำและที่ราบ
เหมาะแก่การฝึกช้างป่า จึงหยุดไพร่พลตั้งบ้านเรือนขึ้นที่นี่
และตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "แม่ร่องสอน" หมายถึงที่มีร่องน้ำฝึกช้าง
ต่อมา ได้เพี้ยนเป็น "แม่ฮ่องสอน"
ครั้นถึงปี พ.ศ. 2399 มีชาวไทยใหญ่ อพยพมาหลบภัยสงครามอยู่ที่แม่ร่องสอนเป็นจำนนมาก
โดยมี เจ้าฟ้าโกหล่าน และชานกะเล เป็นหัวหน้า เมื่อมาอยู่ที่นี่
ชานกำเล ได้ช่วยหน่วยงานต่างๆ จนเป็นที่โปรดปรานของพะกาหม่องถึงกับยกลูกสาวชื่อนางไส
ให้เป็นภรรยา ต่อมาชานกะเล อพยพครอบครัวลงใต้มาอยู่ที่เมืองกุ๋นลม
หรือขุนยวมในปัจจุบัน ได้เป็นเข้าเมืองกุ๋นลมคนแรก ต่อมานางไสถึงแก่กรรม
เจ้าฟ้าโกหล่าน ยกหลานสาวชื่อเจ้านางเมี๊ยะให้เป็นภรรยา
ชานกะเลปกครองเมืองกุ๋นลม เจริญมั่งคั่งส่งส่วยตอไม้ให้ได้มากมาย
จนถึง พ.ศ. 2417 เจ้าอินทวิชยานนท์ จึงแต่งตั้งชานกะเลเป็น
พญาสิงหนาถราชา แล้วสถาปนาเป็นเจ้าเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรก
จังหวัดแม่ฮ่องสอน จึงถือเอาต้นกำเนิดเมือง คือ ร่องน้ำสอนช้าง
และช้างตัวเดียวเล่นน้ำ เป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัด
จังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นที่รวมของชนเผ่าไทยและชาวไทยภูเขาหลายเผ่า
มาแต่โบราณ ผู้คนเหล่านี้ยังคงดำเนินชีวิตเรียบง่าย
รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีดังเดิมไว้ เฉกเช่นเมื่อหลายร้อยปีก่อน
ประกอบด้วย ไทยใหญ่ ม้ง มูเซอ ลัวะ ลีซอ จีนฮ่อ และกะเหรี่ยง
ทิศเหนือ ติดต่อกับ
พม่า ทิศใต้ ติดต่อกับ จังหวัดตาก ทิศตะวันตก ติดต่อกับ
พม่า ทิศตะวันออก ติดต่อกับ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน
เป็นจังหวัดชายแดนจังหวัดหนึ่ง ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับสหภาพพม่า
ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกสุดของภาคเหนือ โดยอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ
ประมาณ 924 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 12,681.259 ตารางกิโลเมตร
ปัจจุบันแบ่งการปกครองออกเป็น 7 อำเภอ คือ อำเภอเมือง
แม่สะเรียง ขุนยวม ปาย แม่ลาน้อย สบเมย และปางมะผ้า
ของที่ระลึกจากจังหวัดแม่ฮ่องสอนมีทั้งประเภท
อัญมณี ตลอดจนผลิตภัณฑ์สินค้าพื้นเมืองต่างๆ เช่น น้ำผึ้งป่า
ใบชา หมวกชาวไต (ชาวไทยใหญ่เรียกว่า "กุ๊ป")
ซี่งมีลักษณะเป็นหมวกปีกกว้างใบกลม ตรงกลางยอดแหลมเหมือนเจดีย์
มูลี่ทำจากไม้ไผ่ เสื่อทอไทยใหญ่ ผ้าซิ่นไหมลายฝีมือพม่า
อัญมณี เช่น ทับทิม หยก และเครื่องใช้ประเภทเสื่อ ผ้าทอฝีมือกะเหรี่ยง
ประเภทของขบเคี้ยว เช่น ถั่วแป๊ะหล่อ แป๊ะยี เป็นต้น
งานเทศกาลชิมชาบ้านรักไท
จัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
บริเวณหมู่บ้านรักไท หมู่ 6 ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง
เป็นหมู่บ้านชายแดนที่อยู่ในความควบคุมของกองทัพภาคที่
3 เนื่องจากราษฎรมีอาชีพปลูกใบชา ดังนั้นทศกาลชิมชานี้
จึงจัดขึ้นเพื่อเป็น การสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกชา และส่งเสริมการท่องเที่ยว
ภายในงานมีการ ขี่ม้าเที่ยวชมธรรมชาติรอบหมู่บ้าน ชิมชาชั้นดี
ชมการแสดงจากชาวจีน ยูนนาน และการละเล่นพื้นบ้าน
งานประเพณีปอยส่างลอง หรืองานบวชลูกแก้ว
เป็นประเพณีบวชสามเณรตามธรรมเนียมของชาวไทยใหญ่
เพื่อให้บุตรหลานได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
และมีความเชื่อว่าจะได้รับบุญกุศลจากการบวชครั้งนี้
งานจัดให้มีขึ้นใน เดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งจะตรงกับช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนของเด็กๆ
โดยชาวบ้านจะกำหนดวัน ให้ลูกหลานได้บวชเรียนพร้อมๆกัน
มีการประดับประดาผู้ที่จะบวชด้วยของมีค่าอย่างสวยงาม
และประกอบพิธีบวชตามวัดที่เจ้าภาพได้ตกลงไว้ แต่เดิมปอยส่างลองเป็นประเพณีที่จัดเฉพาะในหมู่ญาติมิตรของเจ้าภาพ
ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2525 ได้เกิดมีแนวความคิดใหม ่โดยจัดเป็นบรรพชาหมู่
จำนวนถึง 200 รูป เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ครบ
200 ปี และนิยมปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
งานประเพณีจองพารา
เป็นประเพณีส่วนหนึ่งในงานเทศกาลออกพรรษา
(งานปอยเหลินสิบเอ็ด) คำว่า "จองพารา" เป็นภาษาไตแปลว่า
"ปราสาทพระ" การบูชาจองพารา คือการสร้างปราสาท
เพื่อคอยรับเสด็จพระพุทธเจ้าที่จะเสด็จลงมา จากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
จัดขึ้นระหว่างวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันแรม 8
ค่ำเดือน 11 มีการจัดเตรียมสร้าง "จองพารา"
ซึ่งเป็นปราสาทจำลอง ทำด้วยโครงไม้ไผ่ ประดับลวดลายด้วยกระดาษสา
กระดาษสีต่าง ๆ หน่อกล้วย อ้อยและโคมไฟ ตกแต่งอย่างสวยงาม
โดยสมมุติให้เป็นปราสาท เพื่อรับเสด็จพระพุทธองค์จากสวรรค์
จากนั้นก็จะยก "จองพารา" ขึ้นไว้นอกชายคา
หรือบริเวณกลางลานทั้งที่บ้านและที่วัด
ในวันขึ้น 15 ค่ำ อันเป็นวันออกพรรษานั้น ตั้งแต่เช้าตรู่ประชาชน
พร้อมใจกันไปทำบุญตามวัด บางวัดจัดให้มีการตักบาตรเทโว
ส่วนใน ตอนเย็นจะนำดอกไม้ธูปเทียนและขนมข้าวต้มไปขอขมาบิดามารดา
และญาติผู้ใหญ่
ก่อนย่ำรุ่งของวันแรม 1 ค่ำ จะมีพิธี "ซอมต่อ"
คือการอุทิศเครื่องเซ่นแก่สิ่งที่ชาวไทยใหญ่ถือว่ามีบุญคุณในการดำเนินชีวิต
โดยนำกระทงอาหารเล็กๆ ที่จุดเทียนติดไว้ด้วยไปตั้งไว้ตามสถานที่ต่างๆ
แสงประทีปนับร้อยนับพันดวงตามวัด สถูป และบ้านเรือน
ในตอนใกล้รุ่งเป็นภาพที่งดงามน่าประทับใจมาก
ตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำไปจนถึงวันแรม 8 ค่ำ จะมีการถวายข้าวที่จองพาราวันละครั้ง
และจุดเทียน หรือประทีปโคมไฟไว้ตลอด มีการละเล่นหลายชนิด
เช่น ฟ้อนโต ฟ้อนรูปสัตว์ต่างๆ ฟ้อนก้าแลว(ฟ้อนดาบ)
เฮ็ดกวาม ฯลฯ ตามถนนหนทางและบ้านเรือน เป็นการละเล่นที่สืบเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่า
สัตว์โลก และสัตว์หิมพานต์พากันออกมาร่ายรำแสดงความยินดี
ก่อนจะถึงวันแรม 8 ค่ำ จะมีพิธี "หลู่เตนเหง"
คือ การถวายเทียนพันเล่ม โดยแห่ต้นเทียนไปถวายวัด และใน
"วันกอยจ้อด" คือวันแรม 8 ค่ำ อันเป็นวันสุดท้ายของเทศกาลออกพรรษา
จะมิพิธี "ถวายไม้เกี๊ยะ" โดยนำฟืนจากไม้เกี๊ยะ
(สนภูเขา) มามัดรวมกันเป็นต้นสูงไม่ต่ำกว่า 2.5 เมตร
เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30 เซนติเมตร แล้วนำเข้าขบวนแห่
ประกอบด้วยฟ้อนรูปสัตว์ต่างๆ และเครื่องประโคม ไปทำพิธ
ีจุดถวายเป็นพุทธบูชาที่ลานวัด เป็นอันสิ้นสุดเทศกาลออกพรรษาของชาวไต
ประเพณีลอยกระทง หรืองานเหลินสิบสอง
จัดขึ้นในวันเพ็ญเดือนสิบสอง
โดยชาวบ้านจะจัดทำกระทงเล็กๆ ไปลอยตามแม่น้ำ มีการประกวดกระทงใหญ่ที่หนองจองคำ
ซึ่งเป็นหนองน้ำสาธารณะกลางเมือง มีการแสดงมหรสพรื่นเริง
ตามบ้านเรือนจะมีการจุดประทีปโคมไฟสว่างไสว นอกจากนี้ยังมีการลอยกระทงสวรรค์
โดยนำกระทงที่จุดประทีปโคมไฟแล้ว ผูกติดกับลูกโป่งลอยขึ้นไปในอากาศ
พิธีนี้จัดขึ้นที่วัดพระธาตุดอยกองมู
งานเทศกาลดอกบัวตอง
จัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน
ที่อำเภอขุนยวม "ดอกบัวตอง" เป็นดอกไม้ป่าสีเหลืองคล้ายดอกทานตะวันแต่ขนาดเล็กกว่า
ขึ้นอยู่ตามป่าเขาสูงตอนเหนือของประเทศไทย ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนจะมีมากที่บริเวณบ้านแม่เหาะ
อำเภอแม่สะเรียง และดอยแม่อูคอ อำเภอขุนยวม เมื่อถึงระยะที่ดอกบัวตองบาน
ตลอดเส้นทางเข้าสู่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน และภูเขาที่สลับซับซ้อนนั้นจะเป็นสีเหลืองอร่ามไปด้วยสีของดอกบัวตอง
ในงานมีการละเล่นและมหรสพพื้นเมืองและร่วมสมัย มีการประกวดธิดาบัวตอง
การแสดงศิลปวัฒนธรรมของชาวไตและชาวไทยภูเขา การจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง
การแข่งขันกีฬาชาวดอย ตลอดจนนิทรรศการและการนำเที่ยวชมดอกบัวตองบนดอยแม่อูคอ